ย้อนรอย ชมเมืองเก่าลาว-มอญ ปักธงชัย

(สิมโบราณ วัดหน้าพระธาตุ หรือวัดตะคุ)
       สมัยโบราณ เดิมปักธงชัยเป็นเมืองโบราณ ตั้งแต่ขอมเรืองอำนาจ ทั้งนี้สันนิษฐานได้จาก เขตอำเภอปักธงชัย มีซากปรักหักพังของปรางค์หรือ เทวาลัย หลายแห่งที่เป็นศิลปะกรรมและสถาปัตยกรรมที่ขอมนิยมสร้างตามเมืองต่างๆ ที่ตนเองปกครองอยู่ เช่นปรางค์นาแค ปราสาทสระหิน  ปรางค์กู่เกษม
(ปรางค์กู่เกษม)
 ในสมัยกรุงศรีอยุธยา จากหลักฐานที่ปรากฎตามแผนที่ยุทธศาตร์สมัยกรุงศรีอยุธยา ได้ปรากฎชื่อเมืองปักว่าตั้งอยู่ใกล้เมืองนครราชสีมา ความสำคัญก็คือ เป็นเมืองหน้าด่านทางทิศใต้ของเมืองนครราชสีมา เพื่อเป็นกองระวังหน้า คอยสอดแนมข้าศึกและคอยปะทะขัดขวางหน่วงเหนี่ยว ไม่ให้ข้าศึกยกทัพประชิดเมืองนครราชสีมาเร็วเกินไป เมืองปักในสมัยนี้จึงถูกตั้งและเรียกว่า"ด่านจะโปะ"เช่นเดียวกับด่านเกวียน ด่านจอหอ ด่านขุนทด เป็นต้น
(วิวจากยอดเขาตะกุดรัง)

สมัยกรุงธนบุรี พ.ศ๒๓๒๑ ในรัชสมัยพระเจ้ากรุงธนบุรี โปรดฯให้สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก(รัชกาลที่๑) ยกกองทัพไปปราบเมืองเวียงจันทร์ และได้รับชัยชนะ ขากลับจึงได้กวาดต้อนเชลยชายหญิง พร้อมกับเพี้ยอุปราช และให้ไปพักอาศัยอยู่ที่ด่านจะโปะ ครั้นชาวเมืองเวียงจันทร์ตั้งบ้านเรือน เป็นหลักฐานมั่นคงแล้ว เจ้าพระยานครราชสีมา (ปิ่น)จึงกราบบังคมทูลขอให้เพี้ยอุปราช เป็นเจ้าเมืองปักคนแรก พระราชทานนามว่า "พระยาวงศาอรรคราช" (ซึ่งกล่าวกันว่าเป็นต้นตระกูลวรธงไชย ขณะนี้)เมือง ปักในสมัยนี้เป็นเมืองชั้นตรีตรงต่อเมืองนครราชสีมา เมื่อ พ.ศ๒๓๒๓

(ด้านหลังสิม วัดนกออก)

ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ พ.ศ ๒๓๖๙ เจ้าอนุวงศ์แห่งเมืองเวียงจันทร์ยกทัพมายึดเมืองนครราชสีมา และได้กวาดต้อนช่าวเมืองไป แต่ถูกคุณหญิงโม และชาวเมืองนครราชสีมา ต่อสู้กับทหารเวียงจันทร์ จนได้รับชัยชนะและได้พระราชทานนามว่า"ท้าวสุรนารี"การกวาดต้อนเชลยคราวนั้น ทหารเจ้าอนุวงศ์แห่งเมืองเวียงจันทร์ ได้มากวาดต้อนชาวเมืองปักทั้งชาวไทยโคราช และชาวเวียงจันทร์ ซึ่งชาวเวียงจันทร์ได้อพยพมาพึ่งพระบรมธิสมภาร ตั้งแต่สมัยกรุงธนบุรี ต่างก็มีที่ทำมาหากินสุขสบายมาเป็นเวลากว่า๔๗ปีจึงพร้อมใจกันจับอาวุธต่อสู้ขับไล่ ทหารของเจ้าอนุวงศ์พ่ายแพ้กลับไป(ปัจจุบันชาวเวียงจันทร์เป็นรรพบุรุษ ของชาวตำบลตะคุทั้งตำบล  ตำบลเมืองปักบางหมู่บ้าน ตำบลธงชัยเหนือบางหมู่บ้าน ตำบลสะแกราชบางหมู่บ้าน ตำบลตะขบบางหมู่บ้าน


(สิมโบราณวัดนกออก)
เรามาเริ่มวัดแรกกันเลย!!! คือวัด ปทุมคงคาราม หรือวัดนกออก ตั้งอยู่ในตำบลนกออก 
เป็นวัดที่อยู่ในพื้นที่ของชุมชนชาวมอญที่ย้ายเข้ามาทีหลังชาวเวียงจันทร์ อายุไม่ต่ำกว่าสองร้อยปี ภายในวัดมีพระอุโบสถเดิมตั้งแต่แรกสร้าง เป็นสถาปัตตยกรรมแบบสิมอีสานหรือลาวอีสาน ผสมกับศิลปะของทางภาคกลาง จีน และท้องถิ่นพระอุโบสถหลังนี้เป็นพระอุโบสถที่สร้างโดยการก่ออิฐถือปูน 

หลังคามุงกระเบื้องแบบเรียบง่าย คล้ายกับพระอุโบสถเก่าในภาคกลาง 

ด้านหน้าพระอุโบสถประดับ ฮังผึ้งหรือรังผึ้ง ไม้ฉลุ ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ศิลปะกรรมแบบลาวอีสาน 


บานประตูทำจากไม้เนื้อแข็งแกะสลักลวดลายเส้นตรงสลับกันและลายดอกไม้ประดับกระจกเขียว ศิลปะแบบจีน (ซึ่งบริเวณนี้ก็มีชาวจีนอาศัยอยู่เช่นกัน)
บนหลังคาเป็นทรงจั่วและสิ่งที่เป็นเอกลักษณะของพระอุโบสถนี้คือ มุมหลังคาประดับเป็นรูปหน้าคน ศิลปะท้องถิ่น ซึ่งชาวบ้านเรียกว่า"นาคกลาย"สื่อความหมายถึงพญานาคกำลังจะแปลงร่างกายเป็นมนุษย์
(ด้านหน้าพระอุโบสภวัดนกออก)

ภายในพระอุโบสถมีโครงสร้างเป็นไม้เนื้อแข็งทรงแปดเหลี่ยมเป็นตัวค้ำยันพระอุโบสถ และการวางโครงสร้างเครื่องบนภายใน ใช้วิธีการเข้าสลักหรือเข้าลิ่มโดยไม่ใช้ตะปู บนเพดานมีภาพเขียนสี รูปสัตว์ป่าหิมพานต์ และสัตว์ในตำนานๆ พระประธานในโบสถ์สร้างโดยช่างชาวท้องถิ่น ผสมกับศิลปะลาวอีสาน มีเม็ดพระศกเล็ก พระพักต์รูปไข่ พระนาสิกเป็นสันนูนสูง ประทับนั่งขัดสมาธิ ปางมารวิชัย เป็นพระพุทธรูปทำจากปูนปั้น 
พระประธานภายในอุโบสถวัดนกออก
ภาพจิตกรรมบนเพดานมีภาพเขียนสีรูปสัตว์ป่าหิมพานต์ และสัตว์ในตำนานของชาวอีสาน

ทางทิศเหนือเป็นสระน้ำกลางสระมีเรือนไม้ทรงสิมแบบลาวอีสาน หลังคาจั่วสามชั้นมุงด้วยกระเบื้อง 
ประดับหางหงส์ปูนปั้นบนมุมยอดหลังคาเรือนไม้หลังนี้ เป็นหอไตรกลางน้ำสร้างขึ้นเพื่อเก็บคำภีร์หรือหนังสือต่างๆ เหตุที่สร้างหอไตรอยู่กลางน้ำนี้ก็เพื่อกันแมลงไม่ให้ไปเจาะกินหนังสือ 

หอไตรกลางน้ำ
วัดนกออกนี้เป็นสถานที่ ประวัติศาสตร์อันเก่าแก่ ที่สามารถตีความได้ว่า หมู่บ้านนกออก หรือชุมชนนกออก เป็นหมู่บ้านที่ตั้งขึ้นมานานมากแล้วนับร้อยปี  เป็นพหุวัฒนธรรม มีการผสมผสาน ศิลปะ วัฒนธรรม ทั้งของชาวลาว ชาวมอญ และชาวจีน ฯลฯ ในสมัยก่อนที่ทุกคนจะมีส่วนร่วมในการสร้างวัดไว้ในทุกๆรายละเอียดไว้ได้อย่างกลมกลืนสวยงามมาก

มาต่อกันอีกที่หนึ่ง ซึ่งจะไม่พูดถึงไม่ได้เลย คือบริเวณ ตำบลตะคุ ซี่งหลายๆท่านอาจไม่เคยทราบว่า หมี่โคราชก็มีจุดกำเนิดเกิดขึ้นมาจากพื้นที่ตำบลตะคุนี้แหละครับ บริเวณแถบนี้จะมีโรงงานเล็กๆและร้านของชาวบ้านที่ขายหมี่โคราชอยู่เป็นจำนวนมาก และใครจะรู้ว่าหมี่โคราชเนี่ย เกิดขึ้นจากฝีมือของชาวลาวเวียงจันทร์ที่เคยอพยพมาตั้งรกรากและอาศัยอยู่แถวนี้นั่นเอง
 
และวัดสำคัญของตำบลนี้ คือ "วัดหน้าพระธาตุ" หรือที่ชาวบ้านเรียกว่าวัดตะคุ เป็นวัดเก่าแก่วัดหนึ่งในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น สร้างขึ้นในปี พ.ศ ๒๓๓๐ ในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ชื่อวัดนั้นเรียกกล่าวกันตามพระธาตุเจดีย์ ที่มีปรากฎอยู่ภายในวัด จุดเด่นของวัดนี้คือมีความโดดเด่นด้วยงานจิตรกรรมฝาผนังที่เก่าแก่ และวิจิตรงดงามมาก ที่ยังคงหลงเหลือให้คนรุ่นหลังๆอย่างพวกเราได้มา ศึกษาและชื่นชมกับงานศิลชั้นคูรในครั้งก่อน
ภาพจิตกรรมด้านหน้าพระอุโบสถ


และโบราณสถานแห่งนี้ ยังมีสภาพค่อนข้างสมบูรณ์ นอกจากนี้ภายในวัดยังมีโบราณสถานอีกหลายแห่ง
ประกอบด้วย พระธาตุเจดีย์ตั้งอยู่หน้าพระอุโบสถหลังเก่า เป็นพระธาตุเจดีย์ศิลปะลาวรูปทรงบัวเหลี่ยมที่สูงเรียวยอดสอบเข้าหากันเป็นยอดแหลม ซึ่งเป็นที่นิยมของช่างชาวลาวในสมัยนั้น

ภายในบรรจุพระบรมธาตุ ซึ่งเป็นที่เคารพสักการะรของชาวปักธงชัย เป็นพระธาตุเจดีย์ที่กล่าวกันว่าชาวลาวซึ่งเป็นอพยพจากเวียงจันทน์มาอาศัยอยู่ที่ตำบลตะคุ ได้ร่วมกันสร้างขึ้นเพื่อเป็นศูนย์รวมจิตใจ และพลังศรัทธาของชุมชน ให้เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ด้านข้างพระธาตุเจดีย์มีเจดีย์องค์เล็ก เป็นเจดีย์ที่บรรจุอัฐิเจ้าอาวาสองค์เก่า เมื่อครั้งสร้างวัดขึ้นแรกๆ 

พระอุโบสถหลังเก่า หรือสิม แบบอีสาน ตั้งอยู่ด้านข้างพระวิหาร เป็นพระอุโบสถสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นผนังก่ออิฐถือปูน หลังคามุงกระเบื้องบนเครื่องไม้เก่าแก่ ไม่มีช่อฟ้าใบระกา และหางหงส์ แต่ทำเป็นปูนปั้นแทน มีจั่วลดทั้งด้านหน้าและด้านหลัง 

หน้าบันมีงานไม้จำหลักลวดลายพันธุ์พฤกษา ฐานพระอุโบสถแอ่นโค้งแบบท้องสำเภา มีรูปแบบคล้ายศิลปะของอยุธยาตอนปลาย
"โบสถ์หลังเก่า" 
ตั้งอยู่ข้างโบสถ์ใหม่ เป็นหลังดั้งเดิมมีมาแต่ครั้งสร้างวัด ฐานโบสถ์มีลักษณะแอ่นโค้ง ที่ศัพท์ทางช่างเรียกว่าตกท้องสำเภา หรือท้องช้าง หรือท้องเชือก ซึ่งเป็นรูปแบบสถาปัตยกรรมที่ช่างนิยมทำกันในช่วงปลายกรุงศรีอยุธยา และต้นกรุงรัตนโกสินทร์ ที่น่าสนใจคือส่วนของหลังคาซึ่งไม่มีช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์ เช่นโบสถ์ที่พบเห็นทั่วไป ซึ่งคล้าย"ศิลปะพระราชนิยม" ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระนั่งพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ภายในโบสถ์มีภาพเขียน ซึ่งอยู่ในสภาพสมบูรณ์น่าชม เป็นภาพแสดงเรื่องราวต่างๆ เช่นภาพชาดกตอนต่างๆภาพพระบฏ(พระพุทธเจ้าทรงยืน)  ภาพการนมัสการรอยพระพุทธบาท ภาพพิธีศพหรืออสุภะกรรมฐาน พระมาลัยนอกจากนี้ยังสอดแทรกวิถีชีวิตของชาวบ้านด้วย ในอดีตมีภาพเขียนทางด้านนอก แต่ปัจจุบันลบเลือนไปมากแล้ว เหลือเพียงบางส่วนที่เหนือประตูทางเข้าด้านหน้า ผนังด้านนอกเหนือประตูทางเข้า มีจิตรกรรมฝาผนังหรือที่เรียกกันว่า "ฮูปแต้ม"เป็นงานสมัยรัตนโกสินทร์ตอน ต้นแสดงเรื่องราวพุทธประวัติ 




"หอไตรกลางน้ำ" ตั้งอยู่กลางน้ำ หน้าพระธาตุเจดีย์ เป็นหอไตรเรือนไทยทรงพื้นเมืองอีสาน ผนังแบบฝาปะกนชั้นเดียว สร้างในสมัยสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เพื่อใช้เป็นที่เก็บพระไตรปิฎกโดยตั้งอยู่กลางน้ำเพื่อป้องกันปลวก บานประตูเป็นลวดลายรดน้ำปิดทองภายในมีงานจิตรกรรมและภาพเรื่องราวพุทธประวัติ
 

และภายในบริเวณวัดยังมีกุฎิไม้โบราณหลังเก่า ของอดีตเจ้าอาวาสองค์แรกของวัดหน้าพระธาตุ คือพระคูรอินทรีย์สังวรณ์(ท้าว)

มาต่อกันที่วัดที่สาม วัดสุดท้ายของทริปนี้ คือ" วัดโคกศรีสะเกษ" ซึ่งเป็นอีกวัดที่มีอะไรให้ตื่นเต้นระทึกขวัญตลอดเวลาที่ไป และที่แปลกมากกกก ไปมาก็หลายครั้งแต่ จำทางไม่ได้เลยสักครั้ง 😂 
ปัก GPSไป ก็มั่วพาหลงเข้าป่าอยู่หลายรอบมาก  พอออกมาก็หลงเข้าทุ่งนาไปอีก  แต่ละหลุมก็แสนลึก จนนึกว่าอยู่บนดาวอังคาร เต็มไปด้วยโคลนตมจนเกือบทำให้รถติดหล่มเกือบออกมาไม่ได้ แทบถอดใจแต่ยังไม่ยอมแพ้ สรุปก็ขับวนอยู่แถวๆนั้นแหละ เพราะหาทางเข้าไม่เจอ!!!  ท้องฟ้าก็มืดครึ้ม แต่ก็เหมือนมีอะไรมาดลใจว่าต้องไปให้ได้ เพราะการมาแต่ละครั้งคือไม่สุดซักที 

อย่างเช่นวันนี้ ก็อีกตามเคยคือฝนเริ่มจะเทกระหน่ำมาอีกละ และเราก็เชื่อว่าใครหลายๆคนก็ต้องเคยหลงเหมือนกัน ถ้าไม่ใช่คนในพื้นที่นะ!!! คือป้ายก็แทบไม่มีให้เห็นเลย นี่ขนาดเป็นวัดที่อยู่ในเส้นทางไหว้พระ๙วัดของอำเภอปักธงชัยนะ เหมือนชาวบ้านแถวนี้ไม่ค่อยให้ความสนใจ ซึ่งป้ายวัดอื่นเยอะมาก

   หรือเอ๊ะ?!!! ​มีอะไรมาบังตาเราป่าววะ  นี่แอบคิด!!!😅 
คือมาที่นี่ ครั้งนี้ก็น่าจะเป็นครั้งที่3หรือ4ครั้งแล้วนะ   แต่ก็มินำพาเล้ยยย!!! 
อยากจะเข็กหัวตัวเองจริงๆ!!! ที่นี่ลึกลับ จนหลายๆคนตั้งฉายาให้ที่นี่เป็น"คำชะโนดเมืองโคราช"

และด้วยความที่วัดนี้ตั้งอยู่กลางป่า ที่รกทึบอยู่บนที่ดอนริมน้ำ มีต้นไม้ขึ้นหลากหลาย ทั้งต้นไทร ต้นตาล ต้นลาน ปกคลุมอยู่เป็นจำนวนมาก เงียบสงบและวังเวง แต่ก็ให้ความรู้สึกมีมนต์ขลัง และอาถรรพ์ยังไงไม่รู้ 😱
ถ้าใครอยากรู้ต้องมาลองสัมผัสเอง!!!
 พอบุกป่าเข้ามาก็จะเห็นโบสถ์หลังเก่าๆ หรือที่ชาวบ้านละแวกนี้ เรียกว่าสิมโบราณ หลังเก่าสร้างขึ้นในราว
พ​.ศ ๒๓๓๒ หลังคาเป็นทรงเรือนไทย เรียบง่าย ไม่มีช่อฟ้าใบระกาอีกเหมือนกัน 


รอบพระอุโบสถมีใบเสมาทำจากศิลาแรง จารึกภาษาขอมโบราณ อายุนับพันปี อุโบสถหลังนี้ มีความโดดเด่นเฉพาะตัว อยู่ที่กรอบประตูทางเข้า ที่มีภาพจิตรกรรมสร้างลวดลายด้วยสีธรรมชาติ แบบบ้านๆ แต่ก็มีเสน่ห์ดี

และที่เก๋คือการเอาถ้วยชามหรือภาชนะเครื่องเคลือบดินเผารูปทรงต่างๆ มาประดับตกแต่ง ทุกชิ้นจะมีการเจาะรูตรงส่วนกลางและกระจายออกโดยรอบ คล้ายเกษรดอกบัว อันเป็นสัญลักษณ์สำคัญทางพระพุทธศาสนา ซึ่งปรกติจะเห็แต่เอาไปประดับบนหน้าบันพระอุโบสถ ซึ่งจะเป็นศิลปะพระราชนิยมในรัชกาลที่๓
 ฉาบด้วยปูนยึดติดกับตัวอาคารจนเกิดเป็นกรอบประตูที่มีความสวยงาม แปลกตา ผสมผสานกับศิลปะพื้นบ้านของอีสานได้อย่างลงตัวมากๆ
ใบเสมาโบราณ คล้ายเสานางเรียงตามปราสาทหินสมัยขอม เรืองอำนาจ มีอายุกว่าสองพันปี ด้านหน้าพระอุโบสถ แกะสลักเป็นรูปฤาษีนั่ง และมีใบเสมาบริวารอยู่โดยรอบ

ถัดออกมาไม่ไกล จะมีโรงธรรมหรือที่ชาวบ้านเรียกกันว่าหอแจก เป็นศาลาทรงไทยอีสาน ซึ่งเก่ามากๆ เหมือนไม่ค่อยมีคนมาดูแลทำความสะอาดเลย ซึ่งน่าเสียดายมากๆถ้าโบราณสถาณเหล่านี้ชำรุดเสียหายไป
( ติดๆกันมีอาคารเก่าๆมีป้ายว่าเป็นพิพิธภัณฑ์แต่ปิดไว้และรกมากจนไม่กล้าเดินเข้าไปถ่ายรูป)


หอแจก สร้างด้วยไม้ค้ำยันโครงส้างหลักไว้ มีภาพจิตรกรรมไทยอีสาน แนวประเพณีที่เขียนบนเพดานผนังไม้ อยู่ด้านบน ซึ่งใช้สีได้สวยเย็นสบายตาดี น่าจะเป็นช่างกลุ่มเดียวกันที่วาดบนเพดานวัดนกออก 

แต่ละภาพเขียนด้วยเทคนิคสีที่ได้จากธรรมชาติ เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับภาพจินตนาการสัตว์ในป่าหิมพานต์



และเป็นภาพพุทธประวัติ เขียนโดยช่างท้องถิ่น ชื่อนายบุญมี ไม่ปรากฏนามสกุล เป็นคนในตระกูลหลวงพ่อฉัตร สร้างเมื่อปีฉลู เบญศกปี ๒๔๕๖
(โกษบรรจุกระดูกของชาวบ้าน อยู่รายรอบวัดเป็นจำนวนมาก)

ตอนแรกก็คิดว่าที่นี่เป็นวัดร้าง เพราะที่ผ่านมา มาทุกครั้งก็ไม่เคยเจอใครเลย แต่มารู้ทีหลังว่าปัจจุบันมีพระจำพรรษาอยู่ที่นี่รูปเดียวเท่านั้น`!!!!😱
มาหาข้อมูลภายหลัง จึงรู้ว่าที่นี่มีเรื่องเล่า เกี่ยวกับวัดนี้คือ ในอดีตมีเณรอยู่รูปหนึ่ง อาศัยอยู่วัดหงษ์ปัจจุบันคือ(วัดหงษ์ธรรมรักษ์จิตาราม)ได้แอบกินขนุนที่มีญาติโยมนำมาถวายหลวงพ่อจนหมดโดยไม่ขออนุญาต หลวงพ่อจึงได้ตำหนิและดุด่า
เณรโกรธจึงหนีออกจากวัด และได้มาอาศัยอยู่ที่แห่งนี้ ซึ่งมีพื้นที่เป็นดอน 


หรือชาวบ้านเรียกว่าโคกอุดมสมบูรณ์ เณรจึงจับจองทำเป็นสวนผลไม้ ซึ่งมีต้นขนุนรวมอยู่ด้วย
เมื่อขนุนออกผลและสุกงอมได้ที่ เณรจึงนำขนุนไปถวายหลวงพ่อโดยกล่าวกับหลวงพ่อว่าตนได้นำขนุนมาคืนหลวงพ่อแล้ว ต่อมาภายหลังได้มีชาวบ้านคนอื่นมาจับจองที่ดินทำกินเช่นกัน 
เมื่อมีผู้คนมาอาศัยอยู่ร่วมกันเป็นจำนวนมากสถานที่แห่งนี้จึงกลายเป็นหมู่บ้าน เรียกว่าบ้านโคกซึ่งชาวบ้านที่นี่รู้จักเณรรูปนี้ดี เนื่องจากเป็นคนมีน้ำใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ และมักนำผลไม้ในสวนของตนไปแจกจ่ายชาวบ้านเมื่อมีงานบุญ ก็จะนำผลไม้ไปถวายพระสงฆ์ที่วัด นอกจากนี้ยังมีพ่อค้าแม่ค้ามารับซื้อเพื่อไปจำหน่ายด้วย

ต่อมาเริ่มมีเสียงร่ำลือว่าเณรมีเงินที่ได้จากการขายผลไม้มากมาย ว่ากันว่ามีประมาณ 1 บาตรพระ
 ทำให้มีโจรเข้าไปปล้นเงินจำนวนดังกล่าว แต่เณรไม่มีให้ จึงโดนทำร้ายจนเสียชีวิต จากนั้นจึงลื้อข้าวของเพื่อหาเงินตามคำร่ำลือ แต่ก็ไม่พบ พบเพียงเงิน 1 บาท ที่เณรมีติดตัวเมื่อเป็นเช่นนั้นโจรอาจเกิดความเสียใจ ที่เข้าใจผิดและทำร้ายเณรจนเสียชีวิตจึงได้ทิ้งเงิน 1 บาทเอาไว้ไม่นำติดตัวไป จนกระทั่งมีชาวบ้าน มาพบศพสร้างความเศร้าสลดใจเป็นอย่างมาก ชาวบ้านต่างก็สาบแช่งโจรใจบาปผู้นั้น และนำศพของเณรมาบำเพ็ญกุศลและฌาปนกิจ เมื่อเสร็จจากงานศพ ชาวบ้านจึงได้สร้างศาลขึ้นในพื้นที่ดังกล่าว 
ปัจจุบันสถานแห่งนี้มีชื่อว่า"ศาลปู่เณร" ซึ่งถือได้ว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ที่ชาวบ้านพากันเคารพนับถือ ต่อมาชาวบ้านเห็นว่าสถานที่แห่งนี้เคยเป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมของนักบวช 
 จึงได้สร้างขึ้นเป็นวัดโดยนิมนต์พระสงฆ์มาจำพรรษา แต่ไม่มีหลักฐานยืนยันชัดเจนว่าเป็นพระรูปใด
  
พอไปถึงเราก็รีบลงจากลง เพราะเหมือนฝนกำลังตั้งเค้าจะตกมาชุดใหญ่
วันนี้เงียบ และวังเวงกว่าทุกครั้ง เพราะฟ้ามืดตึ๊ดตื๋อและเงียบจริงๆ 😱 
 
ขณะกำลังเดินถ่ายรูป อยู่เพลินๆ  ก็ได้ยินเสียงคนเดินอยู่ไกลๆ ก็พยายามไม่คิดอะไร
 ปรกติก็เป็นคนไม่กลัวผี แต่ครั้งนี้ก็หวิวๆนิดนึง 😅 ก็เดินถ่ายรูปไปรอบๆโบสถ์  ทันใดนั้น!!!! 
ก็มีพระรูปหนึ่ง เดินออกมาจากพุ่มไม้ แบบไม่มีปี่มีขลุ่ย ท่านก็เข้ามาทักทายด้วยเสียงเย็นๆเนิบๆ 
 ว่ามาจากที่ไหน นู่น นั่น นี่   และท่านก็เล่าว่าท่านจำพรรษาอยู่ที่นี่รูปเดียวมานานแล้ว เราก็เลยถามท่านด้วยความคาใจมาตลอดว่า ทำไมถึงไม่มีหน่วยงานไหนมาช่วยดูแล และปล่อยให้วัดรกร้างแบบนี้ จนเรานึกว่าเป็นวัดร้างไม่มีคนอยู่ ท่านก็บอกว่าท่านมีความขัดแย้งกับชาวบ้าน โดนใส่ร้ายต่างๆนาๆ จนทำให้ชาวบ้านไม่ค่อยมาสนใจ และมาช่วยกันดูแลที่นี่ ซึ่งท่านทำคนเดียวก็ทำไม่ทั่วถึงทั้งหมด และท่านก็ถามว่าจะเข้าไปกราบพระในโบสถ์ไหม จะเอากุญแจมาเปิดให้ เราก็เลี่ยงบอกว่าไม่เป็นไรเพราะเคยเข้าไปแล้ว (ซึ่งข้างในฝุ่น หยักไย่เยอะมากๆ)  อีกอย่างฟ้าก็มืดครึ้มสุดๆ ฝนก็เริ่มลงเม็ดตกลงมาหนักขึ้นเรื่อยๆ เราก็เลยขอตัวกลับก่อน (เลยไม่มีรูปศาลปู่เณร มาฝากทุกคน ไว้ไปรอบหน้าจะเอามาฝากนะครับ )     ซึ่งเอาจริงๆแล้วเราก็อยากอยู่คุยกับท่านต่อเหมือนกันนะ อยากคุยเรื่องประวัติความเป็นมา จากปากของท่านเองเหมือนกัน ว่าจริงเท็จยังไง  ไว้เร็วๆนี้จะหาโอกาสไปพูดคุยกับท่านแบบยาวๆ อีกแน่นอน (ถ้าท่านยังอยู่)ไว้จะมาอัพเดท และเล่าให้ทุกๆคนฟังอีกทีนะ และเผื่อพวกเราพอจะช่วยเหลืออะไรท่านได้ ไม่มากก็น้อย เพราะเราเชื่อเหลือเกินว่าถ้าวัดนี้มีหน่วยงานต่างๆ หรือชาวบ้านอย่างเราๆมาช่วยกันบูรณะวัด และจัดระเบียบดีๆ วัดนี้จะเป็นโบราณสถาน ที่ร่มรื่น และเป็นที่ให้คนได้เข้ามาศึกษาประวัติศาสตร์  ศิลปะวัฒนธรรม ของคนในพื้นที่แถบนี้
 เพราะการอาศัยอยู่แบบพหุวัฒนธรรมของคนที่นี่ มีความหลากหลาย  ทั้งไทยโคราช  และลาวเวียง เขมร มอญ จีน ชาวบนหรือ เผ่า ญัฮกุร (nyah-kur) แปลว่าคนภูเขา เป็นชนเผ่าดั้งเดิมที่อยู่ในป่าเทือกเขาแถบนี้มาช้านานแล้ว  ซึ่งมีอัตลักษณ์ที่น่าศึกษาและน่าสนใจมากๆ ไว้จะมาเล่าให้ฟังอีกที 
ขอศึกษาหาข้อมูล และรายละเอียด เพิ่มเติมอีกหน่อยละกัน !!!
ก็ขอจบทริปนี้ไว้ที่วัดแห่งนี้แบบชุ่มฉ่ำ ท่ามกลางสายฝน ก่อนกลับ💦💦💦
  





































                    

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

เดินชมตึกเก่า สไตล์ฝรั่งเศส ที่บ้านท่าแร่

พิชิต"มุลาอิ"ขุนเขาแห่งศรัทธา