พิชิต"มุลาอิ"ขุนเขาแห่งศรัทธา
"มุลาอิ" หรือ Mulayit Taung ยอดเขาสูงที่สุดของเขตปกครองตนเองกะเหรี่ยงพุทธ DKBA
ตั้งอยู่ในจังหวัดเมียวดีสหภาพเมียนมาร์ ซึ่งห่างจากชายแดนไทยฝั่งอำเภอพบพระจังหวัดตากประมาณ 40 กิโลเมตร
"มุลาอิ"เป็นส่วนหนึ่งของแนวเทือกเขา Dawna Hills อันประกอบด้วยยอดเขาสูงซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีของนักเดินป่า ได้แก่ มุลาอิ เมะลาอะ ดอนพะวี และดอยมะม่วงสามหมื่น โดยมุลาอิเป็นยอดเขาที่สูงที่สุดในบรรดา 4 ยอดเขา มีความสูงประมาณ 2,700 จากระดับน้ำทะเล
เจดีย์บรรจุพระเกศาธาตุบนยอดเขามุลาอิ
บนยอดเขา จุดสูงสุดมุลาอิ มีเจดีย์เป็นที่ประดิษฐานพระเกศาธาตุของพระพุทธเจ้า
ประวัติของพระธาตุตามตำนานกล่าวไว้ว่าใน"รัฐมอญ"มีพระเกศาธาตุ(ชาวมอญเรียกว่า"ธาตุสก")
จำนวน 15 แห่ง ในจำนวนนั้น "ฤาษีกัปปะ" ได้นำพระเกศาธาตุไปบรรจุไว้ในพระเจดีย์มอระอิ 1 เส้น
และ"ฤาษีนารทะ"อัญเชิญพระเกศาธาตุ 1 เส้นไปบรรจุไว้ที่มอระอะเจดีย์
บนภูเขาชื่อ"อะไรนะเทนโปดอพญา"เมื่อปีพ.ศ 114 คำจารึกที่ฐานพระเจดีย์
ทราบว่า"พระเจดีย์มอละอิ" ยกฉัตรเมื่อเดือนมีนาคมค.ส 1154(พ.ศ1697)
มีรูปปั้นเทวดาทั้ง 4 ทิศยืนอยู่ที่เสาหงส์
เจดีย์ด้านบน อนุญาติให้เฉพาะผู้ชายที่สามารถขึ้นไปสักการะได้
ส่วนผู้หญิงจะต้องสักการะเจดีย์ที่อยู่ต่ำลงมาประมาณ 30 เมตร
( เจดีย์ด้านล่างสำหรับผู้หญิง)
(รูปปั้นเทวดาปกปักษ์รักษาเจดีย์แห่งนี้)
จุดเริ่มต้นของการเดินทางในทริปนี้ เกิดขึ้นจากการเริ่มมองหาสถานที่สงบสักแห่ง ในช่วงปีใหม่ สถานที่ๆคนไม่เยอะมาก เพื่อได้มาเจริญภาวนา รักษาศีล และท่องเที่ยวไปในตัว ก็หาอยู่นานจนได้บทสรุปเป็นที่นี่
เหตุที่เลือกที่นี่ เพราะที่นี่มีเสน่ห์อย่างหนึ่ง คือการมาที่นี่ได้จะต้องรักษาศีล 5 งดกินเนื้อสัตว์ และของมึนเมาทุกชนิด เพราะถ้าไปเที่ยวที่อื่น ก็คงมีแต่การเฉลิมฉลอง อึกทึกครึกโครม ดื่มกินกันซะเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งเราก็เบื่อแล้วกับการใช้ชีวิตแบบนั้น คือเมื่อก่อนเราก็เป็นแบบนั้นนะ แต่สองปีมานี้เราก็เลิกตัดขาดจากเหล้า บุหรี่
แบบเด็ดขาดได้ซักที หลังจากที่รักๆเลิกๆมาแล้วหลายรอบมาก ซึ่งก็ไม่ง่ายเลย เพราะเมื่อก่อนสองสิ่งนี้จะเป็นสิ่งที่จะขาดไม่ได้เลยเวลาไปไหน ที่สำคัญคือเปลืองเงินด้วยกับสภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ และช่วงนี้ก็เริ่มมาเจริญภาวนาแบบจริงๆจังๆ ก็ได้ค้นพบความสุขที่แท้จริงจากการเจริญภาวนา ช่วงหลังๆจึงพยายามออกห่างๆกับสิ่งเหล่านั้น อีกอย่างเพราะเริ่มรู้สึกว่าสังขารเราเริ่มถดถอยขึ้นทุกวัน อยากเก็บกายสังขารไว้ท่องเที่ยวปีนป่าย ไปในที่ต่างๆไว้ให้ได้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะยังมีจุดหมายอีกหลายที่ที่เรายังไม่ได้ไป
และที่ผ่านมาเราก็รู้สึกว่า เราได้ใช้ชีวิตแบบสุขนิยม เจ้าสำราญ มาจนคุ้มแล้วหล่ะ😆
อาจจะด้วยเพราะอายุมากขึ้น ก็เพิ่งมาได้สติคิดว่า วันเวลาผ่านไปเร็วเหลือเกิน เราคงเหลือเวลาให้ได้ใช้อีกไม่นานเท่าไหร่ คงถึงเวลากลับมาดูแล และรักตัวเอง ให้เวลาหมั่นมาขัดเกลาจิตใจภายใน ที่ไม่ดีต่างๆ
ที่เรายังต้องแก้ไขกันต่อไป ซึ่งก็มีอีกเยอะมากๆ
เมื่อทุกอย่างเป็นใจเราก็ไม่รีรอที่จะมาเลย เพราะตั้งใจจะมาที่นี่ได้สักพักแล้ว
ก็รีบศึกษาหาข้อมูล อ่านในรีวิวต่างๆมากมายที่เกี่ยวกับที่นี่ ว่าต้องเดินทาง และปฏิบัติตัวอะไร ยังไงบ้าง
วันนี้เลยขอเอาข้อมูลบางส่วนมาเผยแพร่ บอกกล่าวกัน เผื่อมีใครวางแผนจะมาที่นี่ในอนาคต
"สิ่งที่ต้องรู้และปฏิบัติสำหรับผู้มาแสวงบุญและนักท่องเที่ยว"
1.เขาพระธาตุมุลาอิเป็น ศาสนสถาน และเป็นเขตอภัยทานผู้แสวงบุญหรือนักท่องเที่ยวงดรับประทานเนื้อสัตว์ให้รับประทานอาหารเจถือศีล 5 อย่างเคร่งครัด
2.เมื่อเดินทางมาถึงจุดพัก ทีโพมู ให้ชำระร่างกายล้างหน้าและเปลี่ยนเสื้อผ้าแต่งตัวด้วยชุดสุภาพ หลังจากจุดนี้ไปให้พยายามสำรวมคำพูด ห้ามพูดหยาบคาย ตะโกนตะคอกหรือแสดงกิริยาที่ไม่เหมาะสม
จุดนี้จะมีอาหารมังสวิรัติมาให้เรารับประทานหลังจากชำระล้างร่างกายเสร็จ จะเป็นขนมจีนหยวกกล้วยอาหารพื้นบ้านของพม่าซึ่งอร่อยมาก (แนะนำเลย)
3.พอมาถึงบริเวณวัด สิ่งแรกที่ต้องปฏิบัติคือไปกราบนมัสการ พือเล่อบา (ศาลพ่อปู่ศิลา)ผู้ปกปักรักษาสถานที่แห่งนี้ให้ท่านปกปักษ์รักษาระหว่างอยู่ในสถานที่แห่งนี้และตลอดการเดินทาง
4.ในบริเวณวัดห้ามผู้ชายและผู้หญิงเดินเคียงชิดกัน ให้เว้นระยะห่าง หากพักแรมคู่สามีภรรยาจะต้องแยกกันนอน ห้ามนอนด้วยกันและห้ามผู้หญิงตักน้ำศักดิ์สิทธิ์ต้องให้ผู้ชายตักให้เท่านั้น
อาคาร สำหรับผู้ที่มาแสวงบุญและปฏิบัติธรรมสามารถนอนพักค้างแรมในศาลานี้ได้
5.ห้ามหยิบจับสิ่งที่ไม่ใช่ของเราโดยพละการเว้นแต่เจ้าของอนุญาต
6.ห่ามผู้หญิงเดินขึ้นไป ตั้งแต่ทางทิศใต้ของพระธาตุหญิง สู่พระธาตุชาย
7.ช่วยกันรักษาความสะอาด
8.หากต้องการนำน้ำจากบ่อศักดิ์สิทธิ์กลับไปยังบ้านเพื่อเป็นสิริมงคล ให้ตั้งจิตขออนุญาตจากศาล พือเล่าบา(พ่อปู่ศิลา)ต้องเป็นผู้ชายเท่านั้นที่ตักน้ำได้
9.สถานที่ส่งน้ำของพระ(อาบน้ำ)ฆราวาสชายสามารถไปอาบได้แต่ห้ามตากผ้าร่วมกับจีวรของพระภิกษุสงฆ์
"ขั้นตอนการเดินทางข้ามแดนไปยังมุลาอิ"
1.ก่อนเดินทางประมาณ 1 สัปดาห์ให้ติดต่อผู้ประสานงานการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์วัฒนธรรมสองแผ่นดิน คือ"ลุงจ่า"โทร 083-6281898,0874160792 เพื่อแจ้งวันเวลาที่จะเดินทางข้ามไปยังมุลาอิ จำนวนคน และลูกหาบ(หากต้องการ)
2.เดินทางมายังบ้านมอเกอไทย หมู่ที่ 1 ต.วาเล่ย์ อ.พบพระจังหวัดตาก ซึ่งเป็นที่ทำการกลุ่มการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์วัฒนธรรมสองแผ่นดิน เพื่อเปลี่ยนไปนั่งรถโฟวิลซึ่งทางกลุ่มจัดไว้ให้ คันนึงนั่งได้ 10 คนแต่หากมาน้อยคนสามารถเหมาหรือแจมกับกลุ่มอื่นๆได้โดยรถโฟวิล 1 คัน ทางกลุ่มการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ฯ
จะจัดคนนำทางให้ไปด้วย 1 คน สำหรับคอยดูแลตลอดการเดินทางข้ามไป-กลับ ค่าใช้จ่ายรถโฟวิลไป-กลับและคนนำทาง คิดเป็นรายหัวคนละ 900 บาท (ราคาอาจเปลี่ยนแปลงได้สอบถามลุงจ่าก่อนเดินทาง)
หากมารถโดยสารประจำทางนั่งรถทัวร์กรุงเทพ-แม่สอด รอบเย็นจะมาถึงแม่สอดเช้ามืด
แล้วติดต่อรถของกลุ่มการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ให้ไปรับ-ส่งได้
3.ต้องพกบัตรประชาชนตัวจริงติดตัวเสมอ เพราะระหว่างทางตั้งแต่เข้าจังหวัดตากจนถึงด่านชายแดน
จะมีด่าน ต.ช.ด ขอดูบัตรตลอด และก่อนเดินทางข้ามแดนออกไป ทางกลุ่มการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์จะให้พวกเราเขียนชื่อเบอร์โทรศัพท์ ลงในสมุดเล่มหนึ่ง ซึ่งจะถูกนำไปให้เจ้าหน้าที่ด่านชายแดนฝั่งไทย
ไว้เป็นข้อมูลเพื่อตรวจเช็คคนเข้า-ออก ว่าพอออกไปแล้วได้กลับเข้าไทยอย่างปลอดภัยหรือไม่
4.คนนำทางจะคอยดูแลและสื่อสารกับคนในพื้นที่ให้พวกเราตลอด ส่วนลูกหาบอาจจะช่วยขนสัมภาระ กางเต็นท์และช่วยทำอาหารเจให้ด้วย (ซึ่งเป็นอาหารเจที่อร่อยมาก)
แต่นักท่องเที่ยวต้องเตรียมอุปกรณ์เครื่องครัวและเสบียงอาหารมาเอง
(ใครไม่มีเต็นท์ลุงจ่ามีเต็นท์ให้เช่าด้วยนะ แต่ต้องบอกก่อนออกเดินทางจากฝั่งไทย)
ห้ามลืมว่ามุลาอิต้องกินอาหารเจและไม่ดื่มแอลกอฮอล์ และห้ามผู้หญิงทำอาหาร รอทานอย่างเดียว สวยๆ
5.บนมุลาอิไม่มีจุดให้อาบน้ำแต่ที่ทำการกลุ่มการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์มีห้องอาบน้ำให้บริการ 3 ห้อง
บริเวณจุดพักอาบน้ำ และทานข้าวช่วงครึ่งทาง ก่อนขึ้นเขา และขากลับลงมาจากเขาก็สามารถมาอาบน้ำที่นี่ได้ ฉะนั้นเสื้อผ้าหรือของใช้ที่ไม่จำเป็นสามารถแบ่งใส่ถุงแยกไว้บนรถส่วนตัว หรือฝากไว้ ณ ที่ทำการของกลุ่มการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ได้
มาเริ่มเดินทางกันเลย!!!วันแรกที่มาถึงเราก็จะมารวมตัวกันประมาณ7โมงเช้า บริเวณจุดรวมพลของลุงจ่า คิอที่ทำการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ อยู่ติดด่านชายแดนบ้านมอเกอไทย แบบข้ามสะพานไปก็ถึงฝั่งพม่า
สะพานข้ามแม่น้ำ เรือข้ามไปฝั่งพม่าจะอยู่ติดที่ทำการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ จะมีตลาดพื้นบ้าน ของทั้งชาวไทยและชาวพม่ามาจับจ่ายซื้อของกัน อย่างคึกคัก และมีสีสันมาก ทั้งอาหารเสื้อผ้า และอื่นๆอีกมากมาย วันที่เราไปเป็นวันที่มีตลาดนัดพอดีเลยมีผู้คนเยอะเป็นพิเศษ
เส้นทางจากด่านบ้านมอเกอไทย-มุลาอิ จะมีจุดพักรถ 3 จุด ให้ทุกคนบนรถได้พักเปลี่ยนอิริยาบถ
คลายความเมื่อยล้าจากการนั่งเกร็งบนรถ เพราะถนนหนทางวิบากมาก ทั้งหิน ทั้งหลุม ไหนจะฝุ่นอีกเพราะไม่มีถนนลาดยางเลย แนะนำให้ทุกคนเตรียมผ้าปิดจมูกมาด้วยเพราะตลอดเส้นทางเป็นฝุ่นล้วนๆ
และด้วยความเป็นภูเขาที่ชันมาก กว่ารถจะไปปีนขึ้นไปได้มีอะไรให้ลุ้นตลอดเวลา (ซึ่งก่อนที่เราจะเดินทางกลับลงมาชาวบ้านบอกว่ามีรถปิคอัพตกเหว 1 คันและมีผู้เสียชีวิตด้วย1คนก็ยิ่งทำให้เราหวั่นๆใจอยู่เหมือนกัน ในวันที่จะลงมา)
แต่วันแรกที่ขึ้นไปพวกเราไม่กลัวอะไรเลย กลับสนุกและลุ้น ให้กำลังใจกันตลอดที่ขึ้นไป เมื่อไปถึงพวกเราก็ทำการกราบไหว้สักการะพระพุทธรูปและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ประดิษฐานอยู่ณที่แห่งนั้นเพื่อปกปักรักษาพวกเราให้ปลอดภัยตลอดการเดินทางในครั้งนี้
หลังจากนั้นพวกเราก็ขนสัมภาระ เพื่อเดินทางข้ามเขา ไปยังเขาอีกลูกหนึ่ง เพื่อกางเต็นท์สำหรับการพักค้างแรมในคืนนี้
พอกางเต็นท์จัดสัมภาระทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว พวกเราก็ออกเดินทางเพื่อขึ้นไปสักการะพระธาตุมุลาอิ ที่อยู่บนยอดเขาอีกลูกที่สูงขึ้นไป เพื่อความเป็นสิริมงคล ในวันที่ 31 ธ.ค วันส่งท้ายปี 62
ต้องอธิบายก่อนว่าจุดกางเต็นท์และพระธาตุเจดีย์มุลาอิ อยู่คนและยอดเขากัน หากเริ่มเดินจากวัดและลานจอดรถด้านล่าง การขึ้นไปยังจุดกางเต็นท์จะมีทางแยกไปทางซ้ายและเดินขึ้นเขาระยะทาง 1.5 กิโลเมตร แต่จะเดินขึ้นไปพระธาตุเจดีย์มุลาอิ จะต้องเดินกลับไปเริ่มต้นที่วัดด้านล่างตรงลานจอดรถ แล้วเดินขึ้นพระธาตุมุลาอิ อีกทีนึง และเดินตรงขึ้นไปประมาณ 800 เมตร
ส่วนพวก เราจะกางเต็นท์พักกันอยู่บนเนินเขาลูกที่ 3
ก่อนจะขึ้นไปสักการะองค์พระธาตุเจดีย์มุลาอิ ผู้หญิงอย่าลืมนำผ้าถุงหรือผ้าซิ่นติดตัวไปเปลี่ยนบริเวณจุดเดินขึ้นองค์พระธาตุด้วยนะ หากเป็นประจําเดือนห้ามเดินขึ้นไปเด็ดขาด ทำได้แค่เพียงนั่งเล่นชมวิวอยู่ที่จุดกางเต็นท์ ส่วนผู้ชายควรใส่กางเกงขายาวเลยเข่าลงมาให้สุภาพ
ภาพถ่ายจากเจดีย์ผู้ชายลงมายังเจดีย์ผู้หญิง
โชคดีวันที่ 2 คือวันปีใหม่ก่อนที่เราจะกลับลงมา มีหมอกมาทักทาย ให้เราได้ชื่นใจก่อนกลับ เพราะตอนแรกที่มาฟ้าเปิดสดใสมาก นึกว่าจะอดเห็นซะแล้ว
หลังจากกราบสักการะองค์พระธาตุ และเจริญภาวนา อิ่มบุญกันทั่วหน้าแล้ว พวกเราก็เดินทางลงมายังจุดกางเต็นท์เพื่อรับประทานอาหารค่ำกัน ซึ่งมีเสียงลือเสียงเล่าอ้างกันมาก
ว่าอาหารมังสวิรัตฝีมือพี่ๆลูกหาบของที่นี่แกทำได้อร่อยมาก จนพวกเรารอชิมกันสุดๆ
หน้าตาอาหารมังสวิรัตที่เจ้าหน้าที่ทำให้เราทานอาจจะดูบ้านธรรมดา แต่รสชาติไม่ธรรมดาจริงๆ สมคำล่ำลือ เอ๊ะ!! หรืออาจจะเป็นเพราะเหนื่อยและหิว บวกกับอิ่มบุญกันด้วยก็ไม่รู้😁 ยิ่งน้ำพริกกะเหรี่ยงนี่คือเด็ดจริงๆจนอยากห่อกลับบ้านกันเลยทีเดียว พออิ่มท้องหนังตาก็เริ่มหย่อน หลังจากนั้นพวกเราก็แยกย้ายกันนอนพักผ่อนเอาแรง เพื่อรอดูพระอาทิตย์ขึ้นในวันขึ้นปีใหม่ของพรุ่งนี้
หลังจากที่เมื่อคืน บางคนแทบไม่ได้นอนเพราะมีพายุลมแรงมาก แต่ผมโชคดีหน่อยที่ได้นอนในเต็นท์ที่ลุงจ่ากางไว้ให้ตั้งแต่เมื่อวันก่อน ซึ่งมีโขดหินบังลมไว้ ก็เลยหลับยาวๆ พอตื่นมาถึงรู้ว่ามีหลายๆคนต้องย้ายเต็นท์กันกลางดึก เพราะบางคนไปกางเต้นท์อยู่ตรงลานกว้างๆที่ไม่มีอะไรบังลมไว้เลย ถ้าใครไปแนะนำให้หาจุดกางเต็นท์ที่มีโขดหินบังลมไว้ก็จะดีมาก
(บริเวณเต็นท์ที่เป็นจุดรับประทานอาหารของพวกเรา)
ตั้งกล้องรอชมแสงแรกของปี64
สวัสดีปี 63 ซึ่งหลังจากนั้นใครจะรู้ว่า อีกไม่กี่เดือนพี่โควิดก็เข้ามาทักทายกับพวกเราซะแล้ว ดีนะที่ตัดสินใจไปทริปนี้ก่อนที่ covid จะมา เพราะหลังจากทริปนั้นก็ไม่ได้เดินทางออกนอกประเทศเลย จนถึงปัจจุบัน
เช้านี้จากจุดกางเต็นท์มองขึ้นไปจะเห็นพระธาตุมุลาอิมีเมฆหมอก ลอยไปมาปกคลุมเบาๆ เพราะเมื่อคืนมีฝนลงเม็ดมานิดหน่อยพอได้ชื่นใจ หลังจากนั้นพวกเราก็เก็บสัมภาระเพื่อเตรียมเดินทางกลับลงไปยังฝั่งไทย
และก็เดินขึ้นไปสักการะองค์พระธาตุ ก่อนกลับอีกหนึ่งรอบเพื่อความเป็นสิริมงคล ก่อนกลับไปยังแผ่นดินเกิด
ดอกไม้ป่าสีเหลืองเต็มอร่าม ชูช่อเบ่งบาน เต็มลานท้องทุ่งหญ้าสีทองสวยงามมาก
และนี่ก็เป็นอีกหนึ่งทริปที่ประทับใจมาก ที่ได้มาเติมพลังใจให้กับชีวิต ได้ถือศีลเจริญภาวนาเกือบทุกๆย่างก้าวที่เดินอยู่บนนั้น เราไม่รู้เลยว่าในแต่ละวัน รวมถึงอนาคตจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง เราจะมีชีวิตได้อีกนานแค่ไหน ขอแค่วันนี้เราเรียนรู้ ได้อยู่กับตัวเอง
ได้ทบทวนว่าเราได้ทำอะไรตามที่เราฝันไว้บ้างหรือยัง
ความฝันอาจจะไม่ต้องยิ่งใหญ่
ขอแค่เราได้เริ่มทำมัน
จะได้ไม่ต้องมานั่งเสียใจในภายหลัง
ว่าทำไมเราไม่ทำ เมื่อร่างกายเรายังพร้อม
จงออกเดินทาง
ตอนที่เรายังมีกำลัง มีเรี่ยวแรง ที่จะทำได้
เพราะเราไม่รู้เลยว่า
วันข้างหน้าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง
จงอยู่กับปัจจุบันให้มีความสุขที่สุด!!!
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น