ชิลๆหัวหิน ชมงานศิลป์ วิถีนาเกลือ
ทริปนี้เกิดขึ้น ด้วยความที่มีงานที่หัวหินจึงแพลนว่าจะอยู่เที่ยวต่อ ให้คุ้มกับการที่อุตส่าห์ขับรถมาเองถึงหัวหิน(ทั้งๆที่ทีมงานก็มีรถตู้ให้นะ) ไหนๆก็ได้มาแล้วเนอะ เลยกะไปเที่ยวให้จุใจทั้งขาไปและขากลับ
เริ่มวันแรกหลังจากที่ตื่นมาตั้งแต่ตี5กว่าๆ เพื่อมารอชมพระอาทิตย์ขึ้น บริเวณชายหาดริมทะเลแถวๆวัดเขาตะเกียบ กะว่าจะไปถ่ายพระอาทิตย์โผล่พ้นขึ้นจากท้องทะเลตัดกับขอบฟ้าสวยๆ แต่ที่ไหนได้รอแล้วรอเล่าพระอาทิตย์ก็ไม่โผล่ขึ้นมาซักที รอจนใกล้จะถึงเวลาที่พระอาทิตย์ต้องโผล่ขึ้นมาแล้ว แต่ก็ยัง!!ยังไม่มีวี่แวว จนเริ่มถอดใจ ทันใดนั้น!! ก็เริ่มเห็นแสงสีแดงๆค่อยๆโผล่ขึ้นมา แต่อยู่หลังเขาไม่ใช่จุดที่เรารออยู่ เพราะเขามาบังไว้ 😂 บทเรียนครั้งนี้สอนให้รู้ว่า ให้เช็คองศาพระอาทิตย์ขึ้นดีๆก่อนไปนั่งรอ
เพราะแต่ละช่วงเวลา พระอาทิตย์จะทำองศาขึ้นไม่เหมือนกันทุกเดือน ซึ่งไม่ใช่จุดที่เราไปรอ เราก็รีบวิ่งไปเผื่อจะทัน แต่ก็ดันถ่ายรูปได้มาแค่นี้ เจ็บนี้อีกนาน!555
วัดเขาตะเกียบ
หลังจากที่อกหักมาจากการรอชมพระอาทิตย์ของเช้าวันนี้ ก็เลยขับรถไปเที่ยวที่ วนอุทยานปราณบุรี ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากที่นี่มากนัก เป็นสถานที่ท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ธรรมชาติ ที่นอกจากจะมีชายหาดบรรยากาศสวยงามและเงียบสงบให้ไปเที่ยวชมแล้ว ยังมีเส้นทางให้เดินศึกษาระบบนิเวศป่าชายเลน ระยะทางยาว 1 กิโลเมตรโดยทำเป็นสะพานไม้ยกระดับ สามารถเที่ยวชมและศึกษาเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติ และระบบนิเวศป่าชายเลนได้อย่างใกล้ชิด
เส้นทางศึกษาธรรมชาติจัดทำเป็นสะพานไม้ทอดยาวประมาณ 1 กิโลเมตร ลัดเลาะไปตามป่าชายเลนชมพรรณไม้ชนิดต่างๆ ทั้ง โกงกาง โปรงแดง ตะบูนดำ กุ้ง หอย ปูปลา นานาชนิด ที่อาศัยอยู่ตามป่าชายเลน รวมทั้งยังมีเรือ ไว้คอยบริการนักท่องเที่ยว สำหรับใครที่ต้องการนั่งเรือชมป่าชายเลนเข้าไปด้านใน
ระหว่างทางก็จะมีป้ายบอกข้อมูลให้ความรู้เป็นระยะ บนเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติ นอกจากจะได้รู้จักกับพรรณไม้ต่างๆในป่าชายเลนแล้วยังได้เห็นสิ่งมีชีวิตตัวเล็กๆ ที่อาศัยอยู่เช่น ปูก้ามดาบ หอยขี้กา กุ้งดีดขัน ที่ส่งเสียงระงม เหมือนมีคนมาดีดนิ้วอยู่รอบๆ และช่วยย่อยสลายอินทรีย์วัตถุ ด้วยการกินใบโกงกาง และพืชชนิดอื่นๆ แล้วย่อยออกมาเป็นมูลเป็นปุ๋ย ช่วยเพิ่มแร่ธาตุให้ดิน และยังช่วยในการหมุนเวียน ของสารอาหารในระบบนิเวศป่าชายเลนให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น หลังจากที่เดินจนเหนื่อยแล้ว ก็ออกมานั่งดื่มด่ำกับทะเล ฟังเสียงคลื่นซักนิสนึง เพิ่มความสดชื่นด้วยน้ำแตงโมปั่นที่ร้าน
1d+Day Artist cafe
ซึ่งคาเฟ่แห่งนี้ ก็อยู่ไม่ไกลกันมากจากวนอุทยานปราณบุรีมากนัก เป็นคาเฟ่ที่ตกแต่งได้น่ารัก แบบมินิมอลผสมโบฮีเมียนหน่อยๆ ได้มานั่งฟังเสียงคลื่นซัดกับหาดทราย ก็หายเหนื่อยแถมยังได้เครื่องดื่มเย็นๆ เช่นแตงโมปั่น ก็ทำให้ชื่นใจ ได้มากโข
เป็นอีกร้านที่อยากแนะนำถ้าใครได้มาเที่ยวหัวหิน เพราะเงียบสงบไม่พลุกพล่านมากเท่าไหร่ อาจจะด้วยเพราะร้านนี้ เป็นเพียงร้านเดียวที่ยื่นออกมาจากชายหาดในบริเวณนี้
ที่นี่มีมุมให้ถ่ายรูปเยอะเลย บวกกับยังเช้าอยู่ลูกค้ายังไม่ค่อยมี ชิลสุดๆ เราก็ถ่ายไม่หยุด
บริเวณข้างๆร้านจะเป็นท่าเทียบเรือประมงเล็กๆ ที่ชาวบ้านไปหาปลาในทะเล แล้วจะมาจอดที่นี่
ก็พอดีที่เป็นอีกจุด ที่ให้นักท่องเที่ยวได้มาถ่ายรูปกัน
นอนเล่นเย็นใจ เพราะช่วงเช้าแดดยังไม่ร้อนมาก แต่ถ้าช่วงเที่ยงๆก็คงตัวใครตัวมันนะฮะ😁
หลังจากที่พักผ่อน เติมพลังจนหายเหนื่อยแล้ว ก็ถึงเวลาไปเดินเล่น เสพงานศิลป์บ้าง คือมาหัวหินก็บ่อยแต่ไม่เคยไปที่นี่เลย เพราะเพิ่งมาเห็นตอนหาข้อมูลในเน็ตว่ามีที่นี่ด้วย เลยรีบไปแบบไม่รีรอ!!
"หมู่บ้านศิลปินหัวหิน"
ตั้งอยู่ที่ ตำบลหินเหล็กไฟ อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เป็นศูนย์รวมศิลปกรรม ที่มีความหลากหลาย ในด้านรูปแบบทางศิลปกรรม ที่มีคุณค่า ซึ่งอยู่ภายใต้การดูแลของอาจารย์ทวี เกษางาม ปัจจุบันมีศิลปินในกลุ่มร่วม 19 ชีวิตปฏิบัติงานสร้างสรรค์ผลงานศิลปะ ในรูปแบบเฉพาะตัวของแต่ละคน โดยมีสตูดิโอของแต่ละศิลปิน ในเนื้อที่รวม 9 ไร่
และยังเป็นสถานที่ ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียน จัดนิทรรศการและแสดงผลงานทางศิลปะ ในแขนงต่างๆของเหล่าศิลปินระดับประเทศ อีกหลายคน
แต่ขณะเดินเที่ยวชม เราก็ต้องระมัดระวัง ไม่ให้ ส่งเสียงดังจนเกินไป เพราะจะไปรบกวนสมาธิของศิลปิน
ที่ท่านกำลังสร้างสรรค์ผลงานอยู่ บางท่านก็น่ารัก ถ้าช่วงที่พัก ท่านว่างก็จะมาพูดคุยให้ความรู้ต่างๆ ในผล งาน และความหมาย ที่ท่านรังสรรค์ขึ้น ใครถูกใจก็อุดหนุนได้ สวยๆทั้งนั้นถาดสีที่สะสมมานานตามกาลเวลา ก็ให้ความสวยงามไปอีกแบบนึง จนอยากเอากลับบ้านด้วยเลย😂
หลังจากที่อิ่มเอมเปรมฤดี กับงานศิลปะแล้ว ก็ถึงเวลาเดินทางต่อ เพื่อไปสัมผัสวิถีชีวิต การทำนาเกลือ
ของชาวบ้านในบริเวณบ้านแหลม เพชรบุรี ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นจุดที่ถ่ายรูปได้สวยงาม เป็นที่นิยมของบรรดาช่างภาพทั้งมืออาชีพ และมือสมัครเล่น งูๆปลาๆ เช่นขาพเจ้าเป็นยิ่งนัก
ระหว่างทางที่ขับรถกินลมชมวิวทะเลมาตลอดเส้นทาง เราก็สะดุดตากับวัดแห่งหนึ่งซึ่งมีวิหารเป็นรูปเรือ
ที่แปลกตามากจนอดไม่ได้ที่จะต้องหยุดรถ ลงไปถ่ายรูปและทำบุญซักหน่อย
วัดนี้ชื่อว่า วัดนอกปากทะเล มี"เรือเภตรานิพพานัง"ตั้งโดดเด่นริมถนนเส้น บ้านแหลม-หาดเจ้าสำราญ เป็นวิหารรูปเรือสำเภาขนาดใหญ่สวยงามแปลกตามาก
หลังจากนั้นเราก็ออกเดินทางต่อไปยังนาเกลือซึ่งอยู่ไม่ไกลจากบริเวณวัดมากนัก
และบริเวณนี้จะเป็นพื้นที่ทำนาเกลือ เป็นที่ผลิตเกลือสมุทรที่มีคุณภาพอันดับต้นๆของเมืองไทย ที่ชาวบ้านทำสืบต่อกันมานับร้อยปีเลยทีเดียว
จุดเด่นของที่นี่คือจะมีกองเกลือ วางเรียงรายสุดสายตา แถมถ้าไปถูกจังหวะก็จะได้ชม วิถีชีวิตการทำนาเกลือ ที่ชาวบ้านต่างมาช่วยกันหาบเกลือกันอย่างแข็งขันโดยบรรยากาศของการทำนาเกลือแบบดั้งเดิมนี้ จะหาชมได้ยากในปัจจุบัน เป็นอาชีพดั้งเดิมของชาวเพชรบุรีท้องถิ่น ที่อาศัยอยู่แถบชายฝั่งทะเล และแสดงถึงภูมิปัญญาของชาวบ้าน
ที่นี่สามารถทำนาเกลือได้เฉพาะในช่วงไม่มีฝนเท่านั้น หรือช่วงพฤศจิกายนถึงพฤษภาคม ของทุกปี
โดยเฉพาะในช่วงเดือนเมษายนจะมีกองเกลือให้ได้ชมเยอะที่สุด นอกจากนั้นในช่วงกลางเดือนมีนาคมของทุกปี ท.ท.ท เพชรบุรีจะจัดงาน Art of Salt หรืองานประติมากรรมเกลือที่ถนนสายนี้อีกด้วย
โชคดีที่ช่วงนี้เรามาเจอชาวบ้านกำลังมาช่วยกันหาบเกลือขึ้นมา เพื่อนำไปเข้ายุ้งพอดี ด้วยความอยากรู้เราก็ถามชาวบ้านว่าแบบนี้เค้าจ้างกันยังไง ชาวบ้านก็บอกว่าไม่ได้จ้าง ต่างคนต่างมาช่วยกันเหมือนลงแขกเกี่ยวข้าว ที่ค่อยๆผัดเปลี่ยนหมุนเวียนช่วยกันไป ซึ่งไม่น่าเชื่อว่าจะมีแบบนี้หลงเหลืออยู่ ดีงามจัง!!
กังหันลม ยามเย็นที่นาเกลือ บ้านแหลม
และ ปิดท้ายทริปนี้ที่ท่าเรือแม่กลอง ที่พระอาทิตย์🌅กำลังจะตกดินพอดี
กับแสงสุดท้ายของวันนี้ ที่นก กา กำลังบินกลับรัง ก็คงเหมือนเราที่ต่อให้ไปหากิน หรือท่องเที่ยว ไกลถึงไหนต่อไหน สุดท้ายเราก็ต้อง"คืนรัง" เพื่อไปหาครอบครัวที่เรารัก และเติมพลังใจไว้ต่อสู้ใหม่ ในวันข้างหน้า
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น