ทัศนา วิถีไทดำ เมืองเก่า เขาย้อย


                      หลายครั้งมากที่มีโอกาสได้เดินทาง ผ่าน อ.เขาย้อย เพื่อเดินทางลงใต้ ไม่ว่าจะไปเที่ยว หรือทำงานที่หัวหิน แต่ก็ไม่เคยที่จะได้แวะไปเที่ยวที่นี่แบบจริงจังซักที!!  พอดีครั้งนี้มีโอกาสได้มาทำงานที่หัวหินอีกครั้ง ขากลับก็เลยกะแวะไปเที่ยว เขาอีบิด หรือที่เค้าว่าเป็นสวิตเซอร์แลนด์เขาย้อย  ขณะกำลังจะขับรถถึงอยู่แล้วเชียว ห่างไปไม่ถึงกิโลเมตร โชคไม่เข้าข้างรถดันมาตกหลุมจนยางแตก ซะงั้น!!! กะจะมาถ่ายรูปตอนพระอาทิตย์ตกดินซักหน่อย ก็มาโดนดับฝันกันดื้อๆ รอช่างมาเปลี่ยนยางให้ก็เกือบจะ2ทุ่มละ  ก็เลยต้องหาที่พักแถวๆนั้นเพื่อค้างคืน เพราะถ้าเกิน3ทุ่มก็คงไม่เหมาะที่จะเดินทางข้ามจังหวัดในช่วงโควิดแบบนี้  จึงเป็นโอกาสให้ได้ค้างอ้างแรมที่นี่ จนได้เก็บภาพบรรยากาศของเมืองโบราณเขาย้อยมาฝากทุกๆคน 


                                                                         (วัดถ้ำเขาย้อย)

         อันดับแรกหลังจากที่ตื่นขึ้นมา6โมงกว่าๆ ก็รีบบึ่งไปที่ วัดถ้ำเขาย้อย เป็นที่แรก เพราะถ้าใครได้ผ่านถนนเพชรเกษมก็จะต้องเห็นวัดและภูเขาหินปูนแห่งนี้โดดเด่นเป็นสง่า  ยามผ่านไปมาเวลาลงใต้ บวกกับพอมาอ่านประวัติวัดแห่งนี้ก็ไม่ธรรมดา เพราะในอดีตสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่4) ตอนที่พระองค์ออกผนวช ได้เสด็จธุดงค์มาที่นี่และประทับนั่งกรรมฐาน อยู่ภายในถ้ำแห่งนี้หลายคืน 

                                                          ( บันใดทางขึ้นเพื่อเข้าไปในถ้ำเขาย้อย)



แต่ด้วยความที่เราไปถึงเช้าเกินไป  บริเวณถ้ำจึงยังไม่เปิด เพราะปรกติถ้ำจะเปิดตอน8โมงเช้า ชาวบ้านที่กำลังทำความสะอาดลานวัดอยู่ เลยแนะนำให้เราฆ่าเวลาด้วยการไปชมความงดงามโบสถ์ไม้สักหลังใหม่ภายในวัดก่อน แล้ว8โมงค่อยเข้าไปเที่ยวภายในถ้ำ 

( ศาลาการเปรียญไม้สักทองทั้งหลัง)



 

                (อุโบสถไม้สักทองทั้งหลัง)
อุโบสถหลังใหม่ของวัดถ้ำเขาย้อย ถูกออกแบบให้เป็นโบสถ์แห่งการเรียนรู้สำหรับทุกคน โดยบริเวณทางเข้าโบสถ์จะมีนาคสองตนที่บันไดทางเข้า นาคด้านซ้ายจะถือผ้าไตร ส่วนนาคด้านขวาถือดอกบัว เนื่องจากในสมัยพุทธกาล มีนาคที่มีศรัทธาปลอมตัวมาบวช โดยได้แปลงร่างเป็นมนุษย์ เพื่อเข้ามาขอบวชแต่เมื่อนอนหลับไปก็เผลอคืนสู่ร่างเดิมที่เป็นนาค พระพุทธเจ้าจึงได้บัญญัติไว้ว่าบุคคลที่จะบวชได้นั้นต้องเป็นมนุษย์เท่านั้น
(นาคสองตนบริเวณทางเข้าพระอุโบสถ)
                          นาคถือผ้าไตร
                        นาคถือดอกบัว




และเพื่อเป็นการให้เกียรติแก่นาคตนนั้น จึงเรียกผู้ที่กำลังจะบวชเป็นพระ ว่านาค เป็นที่มาของคำว่า"บวชนาค" มาจนถึงปัจจุบัน ความงดงามอีกอย่างหนึ่งของศิลปะภายในโบสถ์แห่งนี้คือ ศิลปะปูนปั้นของช่างเมืองเพชร ที่ขึ้นชื่อและเป็นเอกลักษณ์มาช้านานตั้งแต่สมัยอยุธยา ที่มีความอ่อนช้อยวิจิตรงดงามมาก 
(งานปูนปั้นประดับฐานชุกชีพระประธานภายในโบสถ์ไม้สัก)

(องค์พระประธานภายในโบสถ์ไม้สักทอง)

และเมื่อเข้าสู่ด้านในของโบสถ์ก็จะพบกับความสวยงามของประติมากรรมฝาผนัง ที่ผ่านการแกะสลักไม้สักทองของฝีมือช่างสิบหมู่เมืองเพชร บอกเล่าเรื่องราวของพุทธชาติชาดก ที่รายล้อมอยู่ภายในโบสถ์อย่างวิจิตรบรรจง
ฉัตรไม้ฉลุลายบนพระเศียรองค์พระประธาน

และที่พิเศษไปกว่านั้นเหนือพระประทานของโบสถ์ มีประติมากรรมฉัตรไม้ฉลุลายทั้งฉัตร ซึ่งแตกต่างจากที่อื่นที่มักจะเป็นผ้าหรือเป็นโลหะ ส่วนด้านนอกนั้นเป็นเรื่องของสัตว์หิมพานต์และเสาแต่ละต้นก็บอกเล่าถึงเทพแต่ละองค์ ของหลากหลายความเชื่อเสมือนเป็นการชุมนุมเทพ ที่เปิดโอกาสให้คนได้เรียนรู้ไม่ว่าจะเป็นเทพเจ้าไทย เทพพระเจ้าจีน หรือแม้แต่เทพเจ้าพรามณ์ ก็ถูกรวบรวมอยู่ตามเสาของโบสถ์แห่งนี้
ประติมากรรมไม้แกะสลักพระนางสิริมหามายา ครั้งทรงพระประสูติพระโพธิสัตว์สิทธัตถะพุทธเจ้า 


หลังจากเต็มอิ่มกับความงดงามของศิลปะในแขนงต่างๆภายในวัดถ้ำเขาย้อย ก็ถึงเวลาออกไปสัมผัสกับธรรมชาติ และวิถีชีวิตของชาวบ้านตามท้องทุ่งนาสีเขียว ที่ตัดกับต้นตาลสูงเด่นเป็นทิวแถวโดยรอบ 
(ท้องทุ่งนาสีเขียวตัดกับต้นตาลสัญลักษณ์เมืองเพชรบุรี)


(บ้านโบราณอายุนับร้อยปีที่ยังมีคนอยู่อาศัยอยู่ในบ้านจนถึงปัจจุบัน บริเวณชุมชนบ้านน้อย)

ระหว่างที่ขับรถกินลม ชมท้องทุ่งนาและวิถีชีวิตชาวบ้านริมฝั่งคลอง ที่ยังคงอนุรักษ์รูปทรงบ้านโบราณ เหมือนได้ย้อนเวลากลับไปในอดีตเมื่อร้อยกว่าปีที่แล้ว และก็มาสะดุดตากับวัดแห่งหนึ่ง ซึ่งมีรากต้นไม้ปกคลุมเจดีย์ที่กระจายอยู่รอบๆโบสถ์ ให้ความรู้สึกมีมนต์ขลังอย่างบอกไม่ถูก วัดแห่งนี้ต้องมีประวัติที่น่าสนใจแน่นอน

หลังจากนั้นก็ไม่รีรอรีบหาข้อมูลในกูเกิ้ลก็ได้ความว่า วัดแห่งนี้ชื่อวัดท้ายตลาดตั้งเมื่อพ.ศ. 2430 เดิมเป็นวัดร้างไม่มีพระสงฆ์จำพรรษา ต่อมาชาวบ้านได้นิมนต์พระครูอ่อน พรหมโชติ เจ้าอาวาสรูปแรกของวัด 
จากวัดเฟื้อสุธรรมมา เป็นเจ้าอาวาสได้บูรณะปฏิสังขรณ์ และสร้างอาคารเสนาสนะเพิ่มขึ้น อาทิ หลวงพ่อร่วมพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ของชุมชน เป็นพระพุทธรูปสำริด ลงรักปิดทองทรงจีวรลายดอกพิกุล สันนิษฐานว่าสร้างในสมัยรัชกาลที่3 ภาพจิตรกรรมฝาผนังภายในโบสถ์ฝีมือเขียนของนายช่างอยู่ อินทร์มี ศิลปินที่มีชื่อเสียงของเมืองเพชรบุรี หนึ่งในคณะช่างเขียนภาพจิตรกรรม ณ ระเบียงคต พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม(วัดพระแก้ว)  แต่เสียดายที่วันนี้โบสถ์ปิด เลยไม่ได้เข้าไปเก็บภาพมาฝากทุกๆคน

(เจดีย์โบราณรอบๆพระอุโบสถ วัดท้ายตลาด)

ตลาดริมคลองท้ายตลาดร่มรื่นมาก เสียดายที่ช่วงนี้ปิดเพราะไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยว


      ป้ายบ้านน้อยสองร้อยปี ที่เคยดึงดูดให้นักท่องเที่ยว มาเยี่ยมเยือน แวะซื้อขายสินค้ากันในครั้งอดีต แต่ตอนนี้ไม่มีอีกแล้ว และก็ไม่รู้จะมีอีกเมื่อไหร่ ก็ได้แต่หวังว่าสักวันหนึ่งตลาดแห่งนี้จะฟื้นกลับคืนมามีชีวิตชีวาดังเดิม 
                                                               ร้านกาแฟชิลๆริมสระบัว


บ้านร้างติดกับวัดท้ายตลาด

หลังจากที่ขับรถออกมาจากชุมชนบ้านน้อยสองร้อยปี ได้ไม่ไกลมากนัก ก็ผ่านมาเจอกับวัดแห่งหนึ่งซึ่งมีโบสถ์เก่าแก่ที่ชวนให้ต้องเข้าไปค้นหาอีกตามเคย คือวัด "ห้วยหลวง"
ประวัติวัดห้วยหลวง ตั้งเมื่อพ.ศ 2355 ได้รับราชธานวิสุงคามสีมาเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายนพ.ศ. 2534 เขตวิสุงคามสีมากว้าง 20 เมตรยาว 40 เมตร การบริหารและปกครอง มีเจ้าอาวาสวัดเท่าที่ทราบนามคือ 
รูปที่1.พระอธิการพ่วง รูปที่2.พระอธิการพลัด ธมโชโต รูปที่​3 พระอธิการวอน จนทโชติ รูปที่4 พระปลัดสมพงษ์ วชิรญาโณ พ.ศ. 2516​-ปัจจุบัน

 ตัวโบสถ์ชำรุดทรุดโทรมตามกาลเวลา ภายในประดิษฐานพระประธาน ปางมารวิชัย และพุทธรูปอีกหลายองค์ แต่ไม่ทราบอายุและประวัติความเป็นมาที่แน่ชัด
พระประธานและพระพุทธรูปภายในโบสถ์หลังเก่า


หน้าบันพระอุโบสถวัดห้วยหลวง(เก่า)ทรงจั่ว ไม่มีช่อฟ้าใบระกา แต่ประดับด้วยเครื่องถ้วยแบบจีน ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรม พระราชนิยมในสมัยสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที​3 


หลังจากนั้นก็ถึงเวลา ที่จะพาทุกท่าน ไปย้อนรอยกับตำนานวิถีชีวิตของผู้คนชาว​"ไทดำ" ที่หลายๆคนอาจไม่เคยรู้ว่ามี ชาวไทยทรงดำ หรือไทดำ อาศัยอยู่มากมายในพื้นที่อ.เขาย้อยแห่งนี้ 

ศูนย์วัฒนธรรมไทยทรงดำ อำเภอเขาย้อย ก่อตั้งโดยชาวบ้าน ร่วมมือกับเทศบาลตำบลเขาย้อย เพื่อพัฒนาที่สาธารณะประโยชน์ มาเป็นแหล่งรวบรวมวัฒนธรรมและประเพณีของชาวไทยทรงดำ และสามารถสร้างรายได้ให้กับชาวบ้าน ภายในมีทั้งนิทรรศการให้ความรู้กับนักท่องเที่ยวและบุคคลทั่วไป รวมถึงโฮมสเตย์เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้สัมผัสกับบรรยากาศกลิ่นอายและวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของชาวไทยทรงดำ ได้จากสถานที่จริง
บ้านชาวไทดำ หรือ ไทยทรงดำ

ประวัติความเป็นมา

ชาว"ไทดำ" หรือ"ไทยทรงดำ" เป็นกลุ่มชาวไทกลุ่มหนึ่ง ที่มีถิ่นฐานดั้งเดิมอยู่ในเขตสิบสองจุไทเดิม
หรือบริเวณลุ่มแม่น้ำดำและแม่น้ำแดง ในเวียดนามตอนเหนือ ซึ่งเป็นถิ่นที่อยู่ดั้งเดิมของชาวไทดำ และชาวไทขาว ปัจจุบันสิบสองจุไท คือจังหวัดเดียนเบียนฟู ของเวียดนาม มีเขตติดต่อกับประเทศลาวคือแขวงพงสาลี ปัจจุบันชื่อที่ชาวพื้นเมืองใช้เรียกตนเองที่จังหวัดเดียนเบียนฟูคือ"ไตดำ" 
ในสมัยที่ฝรั่งเศสเข้ามาปกครองเวียดนามและลาว พวกเขาได้เรียกชนเผ่าที่อยู่บริเวณลุ่มแม่น้ำดำว่า ไทดำ ที่เรียกว่าไทดำไม่ใช่ว่าพวกเขาอาศัยอยู่ในบริเวณลุ่มน้ำดำแต่เพราะว่ากลุ่มชนเผ่าไทยดังกล่าวนิยมสวมเสื้อผ้าสีดำอันเป็นเอกลักษณ์ซึ่งย้อมด้วยต้นห้อมหรือต้นคราม การที่เรียกว่าลาวโซ่งจริงๆแล้ว ชาติพันธ์ไม่ได้เป็นลาวเหตุที่เรียกเช่นนี้เพราะว่ามีการอพยพผ่านดินแดนลาวลงมายังสยาม การเรียกว่า"ชาวโซ่ง​" หรือ"ชาว​ไททรงดำ"จะถูกต้องกว่า  เหมือนที่มีการเรียกคนกลุ่มนี้ใน จังหวัดเพชรบุรีว่า "โซ่ง" หรือ "ไทยทรงดำ"
ประวัติการอพยพ
ในปีพ.ศ. 2438 และปีพ.ศ. 2439 ได้เกิดการอพยพครั้งใหญ่ของชาวไทขึ้น สาเหตุก็มาจากศึกสงครามแย่งชิงอำนาจกันระหว่างบรรดาหัวหน้าของไทดำกลุ่มต่างๆ ในแคว้นสิบสองจุไท จึงได้อพยพเข้ามาในประเทศลาวและในภาคอีสานของประเทศไทย
ในประเทศลาว ชาวไทดำส่วนมากได้ตั้งถิ่นฐานใน แขวงหลวงน้ำทา,แขวงบ่อแก้ว,แขวงอุดมไซ และส่วนน้อยในทุกแขวงของประเทศลาว ปัจจุบันยังคงเรียกตนเองว่าคนไทดำเหมือนเดิม
ในประเทศไทย จะอพยพเข้ามาอยู่ที่อำเภอเชียงคานจังหวัดเลย ซึ่งมีการอพยพเข้าออก ย้ายกลับไปกลับมาระหว่างในลาวกับฝั่งไทยหลายครั้ง สุดท้ายก็ตั้งถิ่นฐานถาวรที่อำเภอเชียงคาน ในช่วงระหว่างปีพ.ศ 2496 จนถึงปีพ.ศ. 2497 ได้เกิดสงครามในเมืองเดียนเบียนฟู ซึ่งเป็นหนึ่งในเมืองของแคว้นสิบสองจุไทเดิม ชาวไทยดำจึงได้อพยพหลบหนีการเกณฑ์ทหารของฝรั่งเศส เข้ามาในประเทศลาวและไทยอีกระลอกหนึ่ง
ชาวไทดำในประเทศไทย
ในประเทศไทยนอกจากภาคอีสานและภาคเหนือที่มีชาวไทดำได้อพยพเข้าไปแล้ว ชาวไทดำได้อพยพเข้ามาในภาคกลางด้วย โดยคนไทยเรียกชาวไทดำว่า"ลาวโซ่ง" ซึ่งนั้นมีการสันนิษฐานว่าน่าจะมาจากคำว่าซ่วงหรือ ซ่ง ซึ่งเป็นภาษาไทดำ แปลว่า กางเกง เพราะว่าชาวไทดำเหล่านี้สวมกางเกงสีดำ

ชาวไทดำถูกกวาดต้อนและอพยพเข้ามาในประเทศไทยสามครั้ง

ครั้งที่1 ในสมัยกรุงธนบุรี  สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ครั้นพระองค์ทรงไปตีกรุงเวียงจันทน์ ในปีพ.ศ. 2322 พระองค์ทรงได้กวาดต้อนชาวไทดำที่อพยพมาจากสิบสองจุไท ส่งไปตั้งถิ่นฐานที่เมืองเพชรบุรี ดังได้กล่าวไว้ในประวัติชาติไทยว่า
 ​"แล้วปีรุ่งขึ้นโปรดเก้าฯให้ยกกองทัพ ไปตีเมืองหลวงพระบาง ไปตีเมืองทัน เมืองม่วย เมืองทั้งสองนี้เป็นเมืองของไทซ่งดำ ตั้งอยู่ในเขตแดนญวนเหนือ แล้วพาครัวลาวเวียง ไทดำ ลงมากรุงธนบุรีในเดือนยี่ ไทซ่งดำให้ไปอยู่เพชรบุรี"

ครั้งที่2 ในสมัยรัชกาลที่1 พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชปีพ.ศ. 2335 ได้รวบรวมครอบครัว ไทดำ ลาวพวน ลาวเวียง มาประเทศไทยอีกครั้งหนึ่งสาเหตุเมืองแถง  เมืองพวน แข็งข้อต่อเมืองเวียงจันทน์ เจ้าเมืองเวียงจันทน์ยกกองทัพไปตีได้ลาวโซ่ง ลาวพวน ลาวเวียง ลงมาถวายพระมหากษัตริย์ไทยที่กรุงเทพ ราว​สี่พันครอบครัวเศษ หลังจากนั้น รัชกาลที่​1โปรดเก้าให้ลาวเวียงไปอยู่ที่จังหวัดสระบุรี ลาวพวน ไปอยู่ที่จังหวัดสุพรรณบุรี และลาวโซ่งมาอยู่ที่หมู่บ้านหนองเลา หรือหนองลาว (หนองปรง) ต.หนองปรง อ.เขาย้อย จังหวัดเพชรบุรี

ครั้งที่3  ปีพ.ศ. 2369-2371 เจ้าอนุวงศ์แห่งเมืองเวียงจันทน์ ก่อกบฏ ต่อประเทศสยาม ได้ขึ้นไปปราบกบฏที่เวียงจันทน์และได้นำครอบครัวชาวไทยดำเข้ามาอยู่ในสยามอีก ดังบันทึกของจอมพลเจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรีกล่าวไว้เมื่อคราวเป็นแม่ทัพไปปราบฮ่อในสมัยรัชกาลที่5พ.ศ. 2430 ไว้ว่า
  ​"พระบาทสมเด็จพระนั่งเก้าเจ้าอยู่หัว จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เจ้าพระยาธรรมาฯ ยกกองทัพขึ้นมาถึงเมืองแถง จัดราชการเรียบร้อย แล้วได้เอาครัวเมืองแถงและสิบสองจุไท ลงมากรุงเทพเป็นอันมาก เพราะขืนไว้จะเกิดการยุ่งยากแก่ทางราชการขึ้นอีกครั้ง แล้วพระบาทสมเด็จพระนั่งเก้าเจ้าอยู่หัวได้โปรดฯเกล้าให้พวกไทดำเหล่านั้นไปตั้งภูมิลำเนา อยู่ ณ เมืองเพชรบุรี จนได้ชื่อว่า "ลาวซ่ง"
จากหลักฐานการอพยพเข้ามาในไทยทั้งสองครั้ง แสดงให้เห็นว่าไทยดำ หรือไทยทรงดำ มาตั้งถิ่นฐานที่จังหวัดเพชรบุรีเป็นแห่งแรก และจากคำบอกเล่าจากชาวไทยทรงดำเอง ก็บรรยายว่าเดินอพยพมาจากถิ่นฐานเดิมโดยทางเรือมาตั้งถิ่นฐานที่ตำบลท่าแร้ง อำเภอบ้านแหลม ซึ่งเป็นบ้านชายทะเล ชาวไทยทรงดำไม่ชอบภูมิประเทศแถบนั้น จึงได้ย้ายถิ่นฐานมาเรื่อยๆ จนถึงแถบอำเภอเขาย้อย ซึ่งมีภูมิประเทศเป็นป่าเขาเหมือนกับถิ่นฐานเดิม จึงได้ตั้งบ้านเรือนอยู่อย่างหนาแน่น ต่อมาชาวไทยทรงดำก็ได้ย้ายถิ่นฐานไปทำมาหากิน ในที่อื่นเช่น นครปฐม ราชบุรี สุพรรณบุรี พิจิตร พิษณุโลก ชุมพร และสุราษฎร์ธานี แต่ชาวไทยทรงดำในจังหวัดต่างๆเหล่านั้น จะบอกที่มาเป็นแหล่งเดียวกันว่ามาจากเพชรบุรี 

ภายในพิพิธภัณฑ์จัดแสดงเกี่ยวกับ
นิทรรศการประวัติและวิวัฒนาการ เรื่องราวการอพยพมาอยู่ในประเทศไทยของชาวไทยทรงดำ กลุ่มชนเผ่า
จัดแสดงเรือนที่พักอาศัย เครื่องมือเครื่องใช้ ในชีวิตประจำวัน
​ เครื่องแต่งกายของชาวไทยทรงดำ
 วัฒนธรรมประเพณี จัดแสดงเกี่ยวกับความเชื่อ และพิธีกรรมของชาวไทยทรงดำ เช่นพิธีเสนเรือน พิธีแต่งงานเป็นต้น


ภาษาตัวอักษรของชาวไทดำ
ข้าวของเครื่องใช้ บริเวณภายในบ้านของชาวไทยทรงดำ


ภายในห้องนอนของชาวไทดำ
เครื่องฟัดข้าวโบราณ
ปีพ.ศ. 2376- พ.ศ. 2378 เกิดศึกกับญวนคือหัวพันห้าทั้งหก เมืองพวน เมื่อกองทัพสยามชนะจึงเทครัวชาวพวนและชาวไทยดำลงมายังกรุงเทพฯ
ปีพ.ศ. 2379 -พ.ศ. 2381 จากเอกสารพงศาวดาร เมืองหลวงพระบาง หลังเจ้าอนุวงศ์สวรรคต ราชวงศ์ลาวเวียงจันทน์ล่มสลาย หัวเมืองลาวหลวงพระบาง จึงขึ้นตรงต่อสยาม อุปราชเมืองหลวงพระบาง ยกทัพไปตีเมืองของชาวไทดำ แล้วกวาดต้อนชาวไทดำเป็นเครื่องบรรณาการลงมาถวายยังกรุงเทพฯ
ในสมัยรัชกาลที่5 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเก้าเจ้าอยู่หัว ปราบพวกจีนฮ่อในดินแดนลาว ทรงโปรดให้เทครัวชาวไทดำลงมายังสยาม เนื่องจากเกิดกบฏฮ่อ รุกรานหลายครั้ง พวกฮ่อ ได้เผาบ้านเมืองชาวไทดำใน สิบสองจุไท เมืองแถง และหัวเมืองลาวหลายเมือง เพื่อปล้นทรัพย์ ชาวไทยดำได้อพยพหนีมายังหลวงพระบางและเวียงจันทน์ ครั้งยกทัพไปปราบกบฏจีนฮ่อ จึงทรงโปรดให้ชาวไทดำตามลงมาสร้างบ้านเรือนในสยามได้นับเป็นรุ่นสุดท้ายที่ชาวไทดำเทครัวลงมายังสยาม

ขอบคุณข้อมูลจาก ชาวไทดำ วิกิพีเดีย
ถ้าใครมีโอกาสได้ผ่านไปอำเภอเขาย้อย ก็สามารถไปเยี่ยมชม สัมผัสวัฒนธรรมของชาวไททรงดำ ได้ที่ศูนย์วัฒนธรรมชาวไทยทรงดำ อ​.เขาย้อย จังหวัดเพชรบุรี 
เปิดทุกวันไม่มีวันหยุด 
เปิดตั้งแต่ เวลา 09.00น.-16.00น.



ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

เดินชมตึกเก่า สไตล์ฝรั่งเศส ที่บ้านท่าแร่

ย้อนรอย ชมเมืองเก่าลาว-มอญ ปักธงชัย

พิชิต"มุลาอิ"ขุนเขาแห่งศรัทธา